ส่วนหนึ่งของเราอาจมาจากมนุษย์ "นีอันเดอร์ทัล"

ภาพจำลองมนุษย์นีอันเดอร์ทัล (ภาพประกอบจาก American Museum of Natural History)

งานวิจัยชิ้นล่าสุดของทีมวิจัยนานาชาติ นำโดย "สวานเต ปาโบ" จากสถาบันวิวัฒนาการและมานุษยวิทยา แมกซ์ พลังก์ (Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology) ที่เผยแพร่ในวารสารไซน์ (Science) ฉบับเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา เผยข้อมูลที่บอกให้เรารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ยุคปัจจุบัน และเผ่าพันธุ์นีอันเดอร์ทัล

ริชาร์ด กรีน หนึ่งในทีมวิจัยถอดรหัสจีโนมนีอันเดอร์ทัล โชว์ฟอสซิลกะโหลกและ
กระดูกของมนุษย์นีอันเดอร์ทัล (ภาพประกอบจาก AFP)

ทีมวิจัยได้สกัดตัวอย่างดีเอ็นเอ จากโครงกะดูกมนุษย์นีอันเดอร์ทัลอายุ 4 หมื่นปี จำนวน 3 ร่าง ที่พบในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศโครเอเชีย และถอดรหัสจีโนมที่มีมากกว่า 3 ล้านรหัส (นิวคลีโอไทด์) และเมื่อเปรียบเทียบกับจีโนมของมนุษย์ยุคปัจจุบัน พบว่าชาวยุโรปและเอเชียมีจีโนมเหมือนนีอันเดอร์ทัลประมาณ 1-4%

ต้นกำเนิดนีอันเดอร์ทัล

ภาพแสดงเผ่าพันธุ์ต่างๆของมนุษย์

นีอันเดอร์ทัล หรือ โฮโม นีอันเดอร์ทัลเอนซิส (Homo neanderthalensis) คือมนุษย์สปีชีส์หนึ่งในสกุลโฮโม (Homo) ที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีวิวัฒนาการใกล้ชิดกับ โฮโม ซาเปียนส์ (Homo sapiens) สปีชีส์ของมนุษย์ยุคใหม่ หรือมนุษย์ยุคปัจจุบันมากที่สุด โดยมีบรรพบุรุษร่วมกันอยู่ในแอฟริกาเมื่อประมาณ 5 แสนปีก่อน

ฟอสซิลของนีอันเดอร์ทัลถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 2372 ในเมือง Engis ประเทศเบลเยียม และต่อมาในปี 2391 พบฟอสซิลเพิ่มเติมอีกในเขตยิบรอลตาร์ ทว่าในขณะนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่พบนั้นเป็นมนุษย์ อีกสปีชีส์หนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว กระทั่งการค้นพบฟอสซิล "นีอันเดอร์ทัล 1" (Neanderthal 1) อายุ 4 หมื่นปี ในประเทศเยอรมนี เมื่อปี 2399 และได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้เมื่อปี 2407 หลังจากนั้นก็มีการค้นพบฟอสซิลนีอันเดอร์ทัลเพิ่มขึ้นในหลายประเทศทั้งใน ยุโรป และตะวันออกกลาง

ข้อสงสัยในต้นกำเนิดที่แท้จริง


จากหลักฐานการค้นพบซาก ดึกดำบรรพ์ทำให้เราทราบว่า ต้นตระกูลมนุษย์อย่างเราๆ ซึ่งก็คือมนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon) ในช่วงที่ได้เดินทางอพยพเขามาถึงยุโรป ก็ได้มีการบุกรุกเข้าไปในเขตของมนุษย์นีอันเดอร์ทัล ซึ่งได้อาศัยอยู่ทางตะวันตกของทวีปเอเชียเมื่อประมาณ 45,000 ปีมาแล้ว เมื่อเวลาผ่านมาเพียงแค่ 10,000-15,000 ปี เท่านั้นมนุษย์โครมันยองก็ได้แพร่กระจายไปจนทั่วยุโรปตะวันตกและในช่วงเลานี้เองที่มนุษย์นีอันเดอร์ทัล ได้สูญหายจากไปจากโลกใบนี้ คำถามที่ยังถกเถียงกันอยู่จากเหตุการณ์นี้ก็คือ มนุษย์ในยุคปัจจุบันมียีนของมนุษย์นีอันเดอร์ทัล หลงเหลืออยู่หรือไม่

ในปี 1998 ฝ่ายที่สนับสนุนและเชื่อว่ามีการผสมข้ามสายพันธุ์กันก็ชูประเด็น ในเรื่องการค้นพบโครงกระดูกเด็กผู้ชายในประเทศโปรตุเกส ซึ่งโครงกระดูกนี้มีลักษณะร่วมกันของมนุษย์โครมันยองและมนุษย์นีอันเดอร์ทัล และเมื่อทำการตรวจสอบอายุก็พบว่ามีอายุประมาณ 24,500 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์นีอันเดอร์ทัล ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว และแล้วสิ่งที่จะช่วยพิสูจน์ในเรื่องนี้ได้ก็น่าจะเป็นการพิสูจน์ดีเอ็นเอ แต่ก็ยังมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทฤษฎีเกี่ยวกับการผสมข้ามพันธุ์ใน เรื่องนี้กันอยู่

มีการนำดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรียของมนุษย์นีอันเดอร์ทัล และมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันมาเปรียบเทียบกันก็พบว่ามีความแตกต่างกัน อย่างชัดเจน แต่คนที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็ยังเชื่อว่าระยะเวลา 30,000 ปีที่ผ่านมาของการวิวัฒนาการจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นการเปรียบเทียบจริงๆ ควรทำการเปรียบเทียบดีเอ็นเอของทั้ง 3 กลุ่ม คือ มนุษย์ปัจจุบัน, นีอันเดอร์ทัล, และโครมันยอง

เมื่อเห็นพ้องต้องกันว่าต้องเปรียบเทียบดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรียของทั้ง 3 กลุ่ม ต่อมาก็เลยทำการเปรียบเทียบดีเอ็นเอโดยนำดีเอ็นเอของชาวยุโรป 60 คน, ที่ไม่ใช่คนยุโรปอีก 20 คน, มนุษย์นีอันเดอร์ทัล 4 คน, มนุษย์โครมันยอง 3 คน (1 ตัวอย่างมาจากออสเตรเลีย มีอายุประมาณ 40,000 ปี และอีก 2 ตัวอย่างมาจากอิตาลี)

ผลการทดลองเปรียบเทียบพบว่าดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรียของมนุษย์นีอันเดอร์ทัล จะแตกต่างจากมนุษย์ปัจจุบัน 23-28 คู่เบสต่อการทดสอบ 360 ครั้ง ซึ่งความแตกต่างเท่านี้ก็พอจะทำให้แยกมนุษย์ทั้ง 2 กลุ่มออกจากกันได้โดยเด็ดขาด แต่ดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรียมนุษย์โครมันยองและมนุษย์ในยุคปัจจุบันกลับมีลักษณะที่คล้ายกันแยกออกจากกันได้ไม่ชัดเจน จากจุดนี้เองที่ทำให้ เกิดข้อคัดค้านว่ามนุษย์นีอันเดอร์ทัล ไม่ได้เป็นต้นตระกูลของมนุษย์ในปัจจุบัน

มีข้อโต้แย้งที่ว่า hominids (สิ่งมีชีวิตตระกูลคน ได้แก่ มนุษย์ และลิงไม่มีหาง) ทั้ง 2 สายพันธุ์ คือมนุษย์โครมันยองและมนุษย์นีอันเดอร์ทัล มาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ติดต่อถึงกัน โดยธรรมชาติแล้วก็น่าจะมีการผสมข้ามสายพันธุ์กันเกิดขึ้น

แม้ว่ากำเนิดที่แท้จริงของมนุษย์ยุคปัจจุบันจะยังไม่กระจ่างชัด แต่จากหลักฐานฟอสซิลและหลักฐานทางพันธุศาสตร์ ทำให้ทฤษฎี "ออกจากแอฟริกา" (Out of Africa) ได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ มากกว่าทฤษฎีที่ว่า มนุษย์ยุคใหม่วิวัฒนาการขึ้นพร้อมๆ กันทั่วโลก (Multiregional)

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์ยุคใหม่สืบเผ่าพันธุ์โดยตรงมาจาก ออ สเตรโลพิเทคัส แอฟริกานัส (Australopithecus africanus) ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 2-3 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ โฮโม อีเรกตัส และต่อมาแตกสายวิวัฒนาการเป็น โฮโม นีอันเดอร์ทัล และ โฮโม ซาเปียนส์ ซึ่งเป็นสปีชีส์เดียวในสกุลโฮโมที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลอ้างอิง

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000065820
http://www.ipst.ac.th/biology/Bio-Articles/mag-content15.html
http://nexian07.blogspot.com/

Nano Flakes อาจทำให้เกิดการปฏิวัติเซลล์แสงอาทิตย์

วัสดุใหม่ Nano Flakes อาจปฏิวัติการแปลงพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ อีกทั้งยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ในอนาคต

พลังงานไฟฟ้าบนโลกที่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์นั้น ปัจจุบันยังต่ำกว่า 1% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงพลังงานนั้นค่อนข้างยาก แต่การค้นพบของ Martin Aagesen อาจทำให้การใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ขยายตัวเพิ่มขึ้น

"พวกเราเชื่อว่า Nano Flakes มีศักยภาพในการแปลงพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถึง 30% ซึ่งเป็น 2 เท่าของปริมาณไฟฟ้าที่เซลล์แสงอาทิตย์ในปัจจุบันทำได้ Martin Aagesen ผู้ได้รับปริญญาเอกจาก Nano-Science Center และ the Niels Bohr Institute at University of Copenhagen กล่าว ในช่วงที่เขาศึกษาวิจัยในระดับปริญญาเอกนั้น เขาได้พบวัสดุใหม่ "ผมได้ค้นพบโครงร่างผลึกที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งพบได้ยากมาก ในขณะที่เกิดการก่อตัวของโครงร่างผลึกนั้น พวกเราได้พบว่ามันสามารถดูดกลืนแสงได้ทั้งหมด มันอาจกลายเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ที่สมบูรณ์แบบ" เขากล่าว การค้นพบวัสดุใหม่ของเขาจุดประกายความสนใจมากในต่างประเทศและนำไปสู่บทความในวารสาร Nature Nanotechnology

Martin Aagesen ซึ่งเป็นกรรมการของ บริษัท SunFlake และผู้ติดตามการพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ใหม่กล่าวว่า "อาจเป็นที่แน่นอนว่า เราสามารถลดต้นทุนการผลิต Solar Cells ลงได้เพราะว่าเราใช้สารกึ่งตัวนำในปริมาณที่ลดลงเนื่องจากการใช้นาโนเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันในอนาคตจะมีการใช้ประโยชน์จากเซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น ระยะทางในการส่งพลังงานในเซลล์แสงอาทิตย์จะสั้นลง ทำให้ลดการสูญเสียพลังงานได้มากขึ้น"

ข้อมูลอ้างอิง

http://www.sciencedaily.com/releases/2007/12/071218105420.htm
http://nano.ku.dk/english/study/PhD/martin_aagesen/
Category: 0 comments

หุ่นยนต์สมองชีวภาพตัวแรกของโลก


นักวิจัยได้สร้างสมองชีวภาพจากเซลล์ประสาทของหนู โดยการสั่งงานจากเซลล์ประสาทที่ได้จากสมองของหนูทำให้หุ่น ยนต์นี้เคลื่อนที่ นักวิจัยกล่าวว่าด้วยการทดลองนี้อาจทำให้เราเข้าใจการสั่งการของเซลล์สมอง ได้ และอาจนำไปสู่การค้นหาสาเหตุของโรค Alzheimer และ Parkinson ได้

เซลล์สมองของหนูนั้นถูกบรรจุไว้ในกระเปาะเล็กๆที่ปลอด เชื้อ ซึ่งมีอุณหภูมิเท่ากับร่างของหนู ภายในประกอบไปด้วยเซลล์จำนวนมากถึง 300,000 เซลล์ โดยเซลล์ประสาทจะส่งสัญญาณทางไฟฟ้าผ่านทางงจรไฟฟ้าที่เรียกว่า Multi Electrode Array (MEA) และสัญญาณจะถูกแปลผลเป็นการเคลื่อนที่ของตัวหุ่นยนต์

เซลล์ประสาทถูกติดตั้งไว้ภายใต้วงจรไฟฟ้าที่เรียกว่า Multi Electrode Array (MEA)
ซึ่งนักวิจัยไดเพัฒนาให้สามารถเชื่อมโยงกัน โดยขั้วไฟฟ้าที่ฝังตัวในเซลล์จะทำหน้าที่
บันทึกสัญญาณไฟฟ้าที่ไม่ต่อเนื่องที่มาจากเซลล์ประสาท


ภาพจากกล้องจุลทรรศน์ : เซลล์ที่อยู่บนขั้วไฟฟ้าบนวงจร MEA ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยง
สัญญาณไฟฟ้าจะถูกบันทึกโดยขั้วไฟฟ้า (วงกลมสีดำ)


นักวิจัยกล่าวว่าหุ่นยนต์ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า Gordon สามารถเรียนรู้การเคลื่อนที่ด้วยตัวเองได้ โดยเมื่อหุ่นยนต์เคลื่อนที่ชนกำแพง เซ็นเซอร์จะส่งสัญญาณและแปลผลกลับไปยังเซลล์สมอง เพื่อเรียนรู้การหลบหลีกสิ่งกีดขวาง นาย Kevin Warwick กล่าวว่าหุ่นยนต์ Gordon สามารถหลีกเลี่ยงการชนกำแพงได้ 8 ใน 10 ครั้ง

นักวิจัยมีแผนที่จะทำลายความจำของ เซลล์สมองเพื่อสร้างสภาวะเช่นเดียวกับในโรค Alzheimer และ Parkinson เพื่อศึกษาการเสื่อมสภาพหรือการตายของเซลล์สมองว่ามีผลลัพธ์อย่างไร ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบสาเหตุของโรค ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

ข้อมูลอ้างอิง

http://blogs.discovermagazine.com/80beats/2008/08/14/rat-neurons-build-a-biological-brain-for-a-robot/

http://www.automatesintelligents.com/labo/2008/aou/gordon.html

น้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก


จากเหตุการณ์แท่นขุดเจาะน้ำมัน ดีพวอเตอร์ ฮอริซอน (Deepwater Horizon) ของบริษัทบีพีระเบิด นอกจากส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย ยังทำให้มีน้ำมันรั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่องมากถึง 1,000 บาเรล ต่อวัน นอกจากนี้ยังพบน้ำมันรั่วพวยพุ่งอยู่ใต้ทะเลจำนวนมาก จากบ่อที่ลึกลงไป 1.6 กิโลเมตร หนึ่งในนั้นเป็นทางยาวถึง 16 กิโลเมตร กว้าง 5 กิโลเมตร และหนา 91 เมตร ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสัตว์และสิ่งแวล้อมอย่างร้ายแรง

ภาพแสดงบริเวณการกระจายตัวของน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก

ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต

เมื่อขนสัตว์ซึ่งปกติ จะกันน้ำ (ทำให้สัตว์ลอยน้ำได้และรักษาอุณหภูมิของร่างกาย) ถูกน้ำมันเปื้อนจะจับกันเป็นก้อน ทำให้น้ำซึมเข้าถึงผิวหนัง มีผลให้สัตว์ไม่สามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายได้ จึงหนาวตาย (เนื่องจากอุบัติเหตุเหล่านี้มักเกิดในต่างประเทศเขตหนาว เช่น แคนาดา อเมริกาเหนือหรืออาจเกิด overheat ถ้าเกิดในเขตร้อน) และอาจทำให้สัตว์จมน้ำตายได้

สัตว์ที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนั้นคราบน้ำมันยังอาจอุดตันจมูก ปาก หรือระคายเคืองตาได้ และในภาวะดังกล่าว สัตว์ผู้ล่าก็จะล่าสัตว์เหล่านี้ได้โดยง่าย (แต่หมายถึงได้กินอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษ) สัตว์น้ำที่ปนเปื้อนน้ำมันจะมีสารพิษในตัว เมื่อสัตว์ผู้ล่ากินเข้าไปก็จะได้รับสารพิษ และสัตว์ที่ปนเปื้อนมักมีกลิ่นน้ำมันทำให้ผู้ล่าไม่กิน เกิดภาวะขาดอาหาร

หายนะทางสิ่งแวดล้อมที่อาจจะตามมาจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วจากวาล์วใต้น้ำใน อ่าวเม็กซิโกจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัว มีความพยายาม ทุกวิถีทางที่จะกำจัดคราบน้ำมันให้หมดไป สถาบันวิจัย SINTEF ในประเทศนอร์เวย์กำลังช่วยทางการสหรัฐประมาณการเคลื่อนไหวของคราบน้ำมัน

แนวทางในการกำจัดคราบน้ำมัน

1. ใช้ บูม กั้น (Boom เป็นทุ่นลอยน้ำยาว ๆ) หยุดการรั่วไหล ปิดล้อมไม่ให้คราบน้ำมันแผ่กระจาย


2. ใช้ปั้ม Skimmer (เป็นเครื่องสูบน้ำแบบลอยได้) ทำการสูบถ่ายคราบน้ำมันที่ลอยอยู่เหนือผิวนน้ำ


3. ใช้ Oil Dispersant การฉีดพ่นน้ำยากำจัดคราบน้ำมัน ที่ชายฝั่ง โดยทางเรือ หรือทางเครื่องบิน เพื่อทำให้น้ำมันแยกเป็นอณูเล็ก ๆ เพื่อให้จุลินทรีย์ในทะเลเป็นตัวย่อยสลาย

ภาพแสดงกลไกการเกิดปฏิกิริยาของ Oil Dispersant
ซึงทำหน้าที่เป็น Surfactant โดยด้านหนึ่งของโมเลกุลซึ่งไม่มีขั้วจะจับน้ำมันไว้
ส่วนอีกด้านจะจับกับโมเลกุลของน้ำ โดย
Oil Dispersantหลายๆโมเลกุลจะล้อมโมเลกุล
ของน้ำมันไว้ จึงทำให้หยดน้ำมันมีขนาดเล็กลง


นอกจากนี้อาจใช้หลายๆวิธีพร้อมกันในกรณีที่มีน้ำมันรั่วไหลออกมาเป็นปริมาณมาก

การใช้ Boom และ Skimmer เพื่อกำจัดน้ำมันพร้อมกัน


ซึ่งนาย Mark Reed ผู้จัดการของสถาบัน SINTEF กล่าวว่า หนึ่งในวิธีที่ทางการสหรัฐได้เลือกใช้คือการใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมัน (Oil Dispersant) สารเคมีที่ว่านี้เป็นสารลดแรงตึงผิวประเภทเดียวกับสบู่ ตัวสารจะทำให้คราบน้ำมันกระจายตัวออกเป็นอณูเล็กๆในห้วงน้ำ และจมลงสู่ก้นทะเลก่อนที่จะถึงชายฝั่ง

ล่าสุด บีพีประสบความสำเร็จในการส่งหุ่นยนต์ลงไปสอดท่อขนาดเล็กเข้าไปในท่อขนาด 21 นิ้ว เพื่อสูบน้ำมันรั่วจากบ่อขึ้นไปเก็บไว้บนเรือ ซึ่งอยู่บนผิวน้ำ

ข้อมูลอ้างอิง

http://www.treehugger.com/files/2010/05/bp-gulf-oil-spill-timeline.php
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2006/11/X4914711/X4914711.html
http://www.vcharkarn.com/vnews/153062
http://zoowildlifevet.com/?p=62
http://thairecent.com/Breaking/2010/647880/

Kew Gardens สวนมหัศจรรย์


สวนนี้อยู่ในประเทศสหราชอาณาจักร มีชื่อเต็มๆว่า The Royal Botanic Gardens, Kew ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน อยู่ติดกับแม่น้ำเทมส์ ประวัติของสวนแห่งนี้ เดิมทีเป็นสวนดอกไม้ของเจ้าหญิง Augusta พระมารดาพระเจ้าจอร์จที่ 3 เดิมมีพื้นที่เพียง 9 เอเคอร์ รอบๆพระราชวังคิว ปัจจุบันมีพื้นที่ 132 เอเคอร์ ภายในมีสวนพรรณพืชและดอกไม้ แบ่งเป็นส่วนๆคือ

Palm House ซึ่งจะปลูกพืชในเขตร้อนชื้น

Princess of Wales Conservatory เป็นส่วนที่ปลูกพืชในเขตภูมิอากาศที่ต่างกัน 10 ภูมิอากาศ
เช่น กระบองเพชร กล้วยไม้


Temperate House เป็นอาคารกระจก มีต้น Chilean Wine Palm
ปลูกอยู่ตรงกลางอาคารที่มีความสูงที่สุดในโลก


สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับสวนแห่งนี้ก็คือ หอพรรณไม้ (Herbarium) ซึ่งฝนหอพรรณไม้นี้มีพรรณไม้ที่เก็บไว้ใช้ศึกษาทางด้านสมุนไฟรมากกว่า 7 ล้านชิ้น ส่วนใหญ่ถูกอัดแห้งเก็บไว้ในกระดาษพร้อมระบุชื่อวิทยาศาสตร์

ภาพภายในหอพรรณไม้ (Herbarium)

ภาพแสดงพรรณไม้หลายชนิดที่ถูกอัดแห้งลงบนกระดาษ

สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับรายชื่อทางวิทยาศาสตร์ของพรรณไม้ ณ สวนคิว สามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.kew.org/wcsp/monocots

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
ภญ.ดร. ชฎา พิศาลพงศ์
สถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม

 

Translate

Followers